Home » Archives for Consumer Insight Team Penfill

Author: Consumer Insight Team Penfill

Increases Sales with Branding

Increases Sales with Branding เพิ่มยอดขายด้วยแบรนด์

เพิ่มยอดขายด้วยแบรนด์

Increases Sales with Branding

Asset 1

การเพิ่มยอดขายด้วยแบรนด์ ทำได้จริงหรือ? “แบรนด์” ช่วยทำให้การขายง่ายขึ้น สร้างภาพจำให้กับลูกค้า บอกต่อให้คนสนใจ อยากซื้ออยากลองสินค้าเรา จึงถือได้ว่าแบรนด์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ต่อธุรกิจ ด้วยสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำให้แบรนด์ใกล้ชิดกับลูกค้าผู้บริโภคมากกว่าที่เคย มีแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน นับเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่มีตัวเลือกให้มากมาย แต่ก็ทำให้การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นความท้าทายของธุรกิจที่จะเข้าไปอยู่ในใจลูกค้า ซึ่งในบทความนี้เรามีคำตอบให้ด้วย “การเพิ่มยอดขายด้วยแบรนด์”


Branding และ Brand Identity

Branding คือ อะไร?

Branding คือ การสร้างแบรนด์ ซึ่งไม่ใช่การออกแบบโลโก้แล้วจบ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ ภาพจำที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้คนรู้จัก นึกถึงและดึงดูดลูกค้าให้เข้าถึงสินค้าหรือบริการของเราได้ง่ายขึ้น แบรนด์จึงมีหน้าที่รวมความเป็นตัวตน เป้าหมาย คุณค่าของแบรนด์ ประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ผ่านสินค้าและบริการที่เราส่งมอบ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องผสมผสานกลยุทธ์ (Brand Strategy) เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และอาศัยการทำงานในระยะยาว ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน

 

Branding กับ Brand Identity ต่างกันอย่างไร?

Branding กับ Brand Identity เป็นองค์ประกอบของแบรนด์ที่ต้องทำงานร่วมกัน แต่มีความแตกต่างกัน โดย Branding (การสร้างแบรนด์) จะมีการทำงานที่กว้างกว่า เป็นกระบวนการที่เริ่มตั้งแต่การกำหนดกลยุทธ์แบรนด์ เป้าหมายของแบรนด์ แนวทางการสื่อสาร การลงมือปฏิบัติ และไปจนถึงการวัดผล ขณะที่ Brand Identity เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์แบรนด์ (Brand Strategy) โดยจะเน้นไปที่การสร้างอัตลักษณ์ การแสดงตัวตนของแบรนด์แบรนด์ ได้แก่ โลโก้ โทนสี ตัวอักษร รูปภาพ โทนเสียงที่สื่อสารและข้อความ สิ่งที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสาร

สรุปง่าย ๆ Brand Identity เป็นเครื่องมือช่วยแสดงสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร ผ่านภาพ เสียงและข้อความ ช่วยสร้างภาพจำ ส่วน Branding เป็นกระบวนการที่จะทำให้แบรนด์แข็งแรง ผ่านการวางแผนกลยุทธ์ ประสบการณ์ลูกค้า การสื่อสารทางการตลาด ซึ่งในการสร้างแบรนด์จำเป็นต้องมีทั้ง Branding และ Brand Identity

Brand Strategy Framework
Brand Strategy Framework


แนวทางการเพิ่มยอดขายด้วยแบรนด์

การสร้างยอดขายด้วยแบรนด์ สามารถเพิ่มยอดขายได้จริง ไม่ว่าตลาดนั้นจะมีผู้แข่งขันมากหรือน้อย การจะสร้างยอดขายได้นั้น จำเป็นต้องมีแบรนด์ที่แข็งแรง
การสร้างแบรนด์ที่ดี นอกจากทำให้ลูกค้าจำได้แล้ว ยังช่วยให้เกิดความเชื่อมั่น เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) และกระตุ้นยอดขาย ยิ่งไปกว่านั้นแบรนด์ที่แข็งแรง โดดเด่นจากคู่แข่งรายอื่น จะช่วยทำให้พนักงานเกิดความภาคภูมิใจในองค์กร ดึงดูดคนที่มีความสามารถให้อยากมาทำงานด้วย ธุรกิจมีลูกค้าขาประจำ ได้รับการบอกต่อในทางที่ดี ไม่ต้องเล่นในเกมแข่งขันราคา ทีนี้มาดูวิธีการสร้างแบรนด์เพิ่มยอดขาย 5 แนวทางได้ดังนี้

1. สร้างแบรนด์ให้แข็งแรง แบรนด์ที่ดีช่วยให้ขายง่ายขึ้น

ในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า (Customer’s decision-making process) มีหลายปัจจัยเข้ามาประกอบการตัดสินใจเสมอ ทั้งราคา ฟังก์ชั่นการใช้งาน รูปร่าง ความสวยงาม และแบรนด์ก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนส่งผลได้ ไม่ว่าสินค้านั้นจะราคาเท่าไร อยู่ในตลาดหรืออุตสาหกรรมไหน แบรนด์ก็อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจได้ทั้งสิ้น

 

Apple

Apple แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและมูลค่าแบรนด์สูงมาก ใช้พลังของการทำแบรนด์ ผ่านการออกแบบ สร้างประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่าง ทำให้รู้สึกใช้งานง่าย เป็นมิตร และสวยงาม ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาอยู่ใน Apple Eco-System ถึงแม้จะกำหนดราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นในตลาดคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน แต่ลูกค้าก็พร้อมควักกระเป๋าจ่ายให้ เพราะลูกค้าภูมิใจที่ใช้ Apple กล้าถือ กล้าวาง พร้อมโชว์ และพร้อมติดตามข่าวสารการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อให้ได้เป็นกลุ่มผู้ใช้แบรนด์ Apple ซึ่งเมื่อไปดูส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มสมาร์ตโฟน (Global Smartphone Market 2024) แบรนด์ Apple ครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่ง และรองลงมาคือ Samsung ที่ถึงแม้จะขายได้จำนวนเครื่องมากกว่า แต่กำไรน้อยกว่า ขณะที่ Apple สามารถทำกำไรได้มากจากการสร้างแบรนด์ให้ครองใจลูกค้า ตัดสินใจซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องคิดเยอะ ใช้อารมณ์ที่รัก เชื่อมั่นแบรนด์ ยื่นเงินให้ง่ายขึ้น

Image Courtesy of people.com

2. สร้างตัวตนชัดเจน ทำให้โดดเด่นจากการแข่งขัน

จากหลากหลายธุรกิจที่มีอยู่มากมายในตลาด การแข่งขันเข้าไปดึงดูดให้ลูกค้าสนใจไม่ใช่เรื่องง่าย มีแบรนด์อื่น ๆ มากมายที่ขายสินค้าบริการใกล้เคียงกับเรา ไม่ว่าธุรกิจอะไร มักจะมีคู่แข่งไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเสมอ ดังนั้นการมีแบรนด์ที่แข็งแรงจะช่วยทำให้ธุรกิจ โดดเด่นออกมาจากผู้เล่นคนอื่น ๆ  สามารถเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายขอบเขต ลุยในตลาดต่างประเทศหรือระดับโลกได้มากขึ้น

Coca-Cola

ในปัจจุบันที่เทรนด์สุขภาพโตมากขึ้นเรื่อย ๆ คนหันมาใส่ใจดูแลร่างกาย เลือกรับประทานอาหารเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากขึ้น แต่ Coca-Cola ที่มีสินค้าหลักเป็นน้ำอัดลม ไม่เคยถูกลบหายไปได้เลย เพราะการที่โค้กทำ Branding ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่การสร้างประสบการณ์ให้คนรับรู้ถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์โค้ก (Brand Identity) ในหลายประสาทสัมผัส เมื่อมองเห็นตัวหนังสือสีขาวบนพื้นสีแดง ก็จะนึกถึงโค้ก เสียงเปิดกระป๋อง ความซ่าของน้ำอัดลม ความเย็นเมื่อหยิบกระป๋องโค้กขึ้นมาดื่ม ไปจนถึงหมั่นทำแคมเปญร่วมกับแบรนด์อื่น (Marketing Collaboration) สนับสนุนความหลากหลาย (Diversify) เพื่อเข้าถึงคนทุกกลุ่มที่โค้กทำตลาดมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ถึงแม้ว่าจะมีแบรนด์อื่น ๆ จำนวนมากเข้ามาในตลาดน้ำอัดลม ผลิตแข่งและขายในราคาที่ถูกกว่า แต่โค้กก็ยังคงโดดเด่น เป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ ของผู้บริโภคเสมอมา

Coke SoundZ
Image courtesy of Lovethework.com

3. ยึดมั่นในคุณค่า เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์

การสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งไม่ได้ดำเนินไปเป็นเส้นตรง แต่ต้องอาศัยกลยุทธ์แบรนด์ที่หลากหลาย ประกอบขึ้นมาจึงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างการใช้กลยุทธ์ความจริงใจในการสื่อสาร เน้นแสดงความโปร่งใสของแบรนด์ รักษามาตรฐานและนำเสนอประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ จัดการปัญหาหรือเมื่อเกิดวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว ใส่ใจลูกค้าและเป็นมืออาชีพ และที่ขาดไม่ได้ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเชื่อมั่นแบรนด์อย่างมาก โดยจากผลสำรวจปัจจัยที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ปี 2021 พบว่าผู้บริโภคชาวไทย 41% มองว่า การปกป้องรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดที่จะทำให้เชื่อถือและเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าและบริการของแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งเคล็ดลับสำคัญ คือ การยึดมั่นในคุณค่าของแบรนด์ (Value Proposition) และรักษาความสม่ำเสมอในการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า

ตัวอย่าง เช่น iberry group ที่ไม่ว่าคุณปลา iberry จะแตกแบรนด์ใหม่สักกี่แบรนด์ ก็มีลูกค้าที่พร้อมใช้บริการ  ด้วยความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหาร การยืนหยัดในรสชาติและคุณภาพ ความใส่ใจในรายละเอียดเพื่อให้ได้รสชาติที่สุด ทำให้ลูกค้าที่ไปใช้บริการเชื่อได้ว่า จะได้รับประทานอาหารที่รสชาติดี มีคุณภาพ และอร่อยแน่นอน

Patagonia

Patagonia แบรนด์อุปกรณ์กลางแจ้งและเสื้อผ้าที่ทำเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม แบรนด์อเมริการายนี้เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นในตัวแบรนด์เป็นอย่างมาก (Brand Trust) เพราะ Patagonia ให้ความสำคัญกับ Customer Experience, Data Protection, Transparency และ Eco-Activism ด้วยการทำให้ผู้บริโภคคิดก่อนซื้อ ด้วยโฆษณา “Don’t Buy this Jacket” เพื่อสื่อถึงปัญหาเสื้อผ้าแฟชั่นที่มีมากเกินจำเป็น พร้อมยังมีระบบการคืนสินค้าที่ใช้ง่าย จะคืนที่หน้าร้านหรือจะคืนผ่านช่องทางออนไลน์ก็ได้ และแนะนำการซ่อมสินค้าเพื่อให้ลูกค้าใช้เสื้อผ้าได้ยืนยาวขึ้น เช่น วิดีโอแนะนำการซ่อมซิป แก้กระเป๋า หรือซ่อมเสื้อส่วนที่ขาด เป็นต้น ใช้วัสดุเหลือใช้นำมาผลิตเสื้อใหม่ บริจาคเงินเพื่อองค์กรสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้บริโภครู้สึกดี รักและเชื่อมั่นใน Patagonia ที่เป็นแบรนด์ทำเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง จริงใจ ไม่ใช่จะเน้นขายเสื้อผ้าเพื่อให้คนซื้อซ้ำ แต่มุ่งเน้นให้ลูกค้าใส่เสื้อผ้าคุณภาพไปได้นาน ๆ เพื่อลดคาร์บอนฟุตปรินต์ (Carbon Footprint) เป็นการสร้างแบรนด์เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมตัวจริง

Patagonia Campaign "Don't Buy this Jacket"
Image Courtesy of Patagonia

4. สร้างความรู้สึกทางอารมณ์และเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า

ปัจจุบันมีวิธีการและช่องทางมากมายในการเข้าถึงลูกค้า ทำให้การสร้างความรู้สึกทางอารมณ์ (Emotional Branding) และเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship) จัดเป็นกลยุทธ์แบรนด์สำคัญที่ดึงดูดให้กลุ่มลูกค้าผูกพัน สนใจสิ่งที่คุณเสนอ แวะเวียนเข้าไปดูสินค้าใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ และเข้าไปมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ซึ่งเราสามารถทำให้เกิดความอารมณ์ร่วมได้ผ่านการสร้างประสบการณ์แบรนด์ให้มีเอกลักษณ์ผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ (Sensory Branding) กลิ่น ผิวสัมผัส เสียง และรสชาติ สร้างเรื่องราว Brand Story ให้คนรู้สึกเข้าถึง เป็นส่วนหนึ่งกับแบรนด์ หรือสร้างกลุ่มเฉพาะ คอมมูนิตี้ของแบรนด์เพื่อให้คนพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

Disney

ดิสนีย์ไม่ได้ขายการ์ตูน หนังหรือสวนสนุก แต่ขาย Magical Moments สร้างความทรงจำและความสุขร่วมกันกับครอบครัว ทำให้คนทุกเพศทุกวัยรู้สึกผูกพันได้ อย่างเด็ก ๆ อยากเป็นเจ้าหญิง เป็นฮีโร่ มีบุคคลตัวอย่างให้เอาเยี่ยงอย่าง (Role Model) และผู้ใหญ่ได้หวนนึกถึงวัยเด็ก ทำให้พ่อแม่และเด็กสนุกไปด้วยกันได้ เพิ่มความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งทั้งหมดใช้ “อารมณ์” มาเป็นตัวกระตุ้นทั้งสิ้น (Emotional Hook) ที่ทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น สนุก เศร้า โกรธ ร่วมใจไปกับตัวละครเมื่อดูหนัง แล้วขยายเพิ่มประสบการณ์ที่ลึกยิ่งขึ้นเป็น Immersive Experience กับ Disneyland ที่ไม่ได้เป็นเพียงสวนสนุกธรรมดา แต่เป็น “โลกอีกใบ” ที่ทำให้ลูกค้าได้เป็นส่วนหนึ่งของเวทมนตร์ที่กลายเป็นจริง เป็นไปตามการสื่อสารแบรนด์ “Where Dreams Come True” เท่านั้นไม่พอยังสร้างกิจกรรม กลุ่มคนรักดิสนีย์ให้มาเจอกัน และมีสินค้าดิสนีย์ให้คนพกไปใช้และสะสม นับเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นอย่างมาก ทำให้เมื่อรักดิสนีย์แล้วก็จะยากที่จะถอนตัว

Image courtesy of tracklist.club

5. เพิ่มการรับรู้ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น

เมื่อไรก็ตามที่ลูกค้ารักแบรนด์เราแล้ว ก็มีโอกาสที่จะบอกต่อเพื่อนหรือครอบครัวให้ซื้อใช้ตาม ซึ่งยิ่งมีคนรู้จักแบรนด์มากขึ้น ยอดขายก็มีสิทธิ์โตตาม โดยสามารถสร้างการรับรู้ได้ผ่าน 4 ด้าน ต่อไปนี้

  • Visual Identity: ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ ผลิตภัณฑ์ แพ็กเกจ ถุงสินค้า และการออกแบบร้านค้า
  • Brand Experience: ประสบการณ์ตรงที่ไปใช้บริการ-สินค้า การให้บริการของพนักงานเจ้าหน้าที่
  • Brand Communications: การสื่อสาร Key message ของแบรนด์ผ่านทางเว็บไซต์ ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ
  • Third-Party Validation: การประเมิน รีวิวจากผู้ใช้ ผู้มีอิทธิพล หรือสถาบันทดสอบต่าง ๆ

Red Bull

Red Bull แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังที่เป็นสัญลักษณ์ของพลัง ความกล้า และความท้าทาย Red Bull เป็น แบรนด์ที่โดดเด่นอย่างมากในการสร้างการมองเห็นแบรนด์ (Visibiliy) ด้วยการทำ Branding กับ Extreme Sports Marketing ตั้งแต่ Formula 1, Red Bull Air Race, Motocross, Cliff Diving และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้โลโก้ Red Bull ปรากฏในกิจกรรมที่คนทั่วโลกเห็น รู้จักแบรนด์เรดบูล และเกิดเป็น Fandomในที่สุด

Image courtesy of EWHA Brand Communication

Gentlewoman

แบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงของไทยที่สร้าง Perception ให้คนรับรู้ว่าเป็นแบรนด์มีสไตล์ที่เข้าถึงได้ (Accessible Fashion Brand) ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ Gentlewoman เป็นที่รู้จักมากขึ้นมาจาก กระเป๋าผ้าลายโลโก้ Gentlewoman ที่ลูกค้าเดินหิ้วไปไหนมาไหนจนกลายเป็น Walking Billboard สื่อโฆษณาแบบที่แบรนด์ไม่ต้องเสียเงิน แล้วเมื่อยิ่งลูกค้าและอินฟลูเอนเซอร์ถ่ายรูปกระเป๋าโพสต์ลงโซเชียล (User-Generated Content หรือ UGC) ทำให้เกิด Viral Effect ขายดีจนเกิดปรากฏการณ์ร้านแตก เพราะลูกค้าอยากจะถือกระเป๋า Gentlewoman รู้สึกอยู่ในเทรนด์ ซึ่งในปัจจุบันแบรนด์ Gentlewoman ยังคงพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง มีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่อุดหนุนสินค้าอยู่เสมอ

Gentle Woman Tote Bag
Image courtesy of Gentlewoman


ขั้นตอนการทำ Branding เพื่อเพิ่มยอดขาย (ฉบับรวบรัด)

จากกรณีศึกษาแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต่าง ๆ จะเห็นได้ว่า แบรนด์ที่ขายได้เหล่านี้ต่างมีจุดร่วมที่เหมือนกัน คือ การรักษาภาพลักษณ์ รักษาความสม่ำเสมอในคุณภาพสินค้า ยึดมั่นในคุณค่า-สิ่งที่แบรนด์เชื่อและสนับสนุนมาตลอด ทำให้เป็นแบรนด์ที่แข็งแรง ขายได้ ขายง่าย เพราะลูกค้าเชื่อใจและยินดีที่จะจ่าย โดยมีขั้นตอนการสร้างแบรนด์ ดังนี้

1. กำหนดกลยุทธ์แบรนด์ให้ชัดเจน

กลยุทธ์แบรนด์ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางและตัวตนของแบรนด์ ซึ่งกลยุทธ์แบรนด์ที่ดีควรมาจากการเข้าใจสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะทำ ตัวตนของแบรนด์ผ่านการศึกษาภายในองค์กร (Internal Study) เข้าใจความต้องการของลูกค้า (Customer Study) เข้าใจเทรนด์ให้รู้ทิศทาง (Trends) และรู้จักคู่แข่งเพื่อหาช่องว่างทางการแข่งขัน (Competitors) นำมากำหนดทิศทาง เป้าหมาย ตำแหน่งการแข่งขัน ภาพลักษณ์ การสื่อสารของแบรนด์ต่อไป

Brand Strategy - Winning Zone
Brand Strategy - Winning Zone

2. สร้างตัวตน ยึดมั่นในคุณค่าของแบรนด์

วิเคราะห์คุณค่าของแบรนด์ Value Proposition และ Key Message ที่แบรนด์ต้องการจะส่งออกไปถึงกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นกำหนดตัวตน Brand Identity โลโก้ สี ฟอนต์ คาแรกเตอร์และลักษณะนิสัยบุคลิกที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์

Brand Strategy - Unique Value Proposition
Brand Strategy - Unique Value Proposition

3. สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก

สื่อสารแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการศึกษากลุ่มเป้าหมายให้ลึกซึ้ง (Customer Research) ตั้งแต่ช่องทางที่ควรใช้สื่อสาร ช่องทางขาย และเนื้อหาที่จะโดนใจกลุ่มลูกค้า ทำความเข้าใจการทำ User Research เพื่อเข้าใจกลุ่มลูกค้ามากขึ้น

4. สร้างประสบการณ์ของลูกค้าให้ดี

เมื่อลูกค้ามีประสบการณ์ใช้สินค้า-บริการที่ดีก็จะยิ่งทำให้ลูกค้าประทับใจ อยากใช้บริการต่อ รวมถึงเพิ่มการบอกต่อ แบรนด์มีแฟนคลับ และส่งผลให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นตาม ซึ่งจะเห็นได้ว่า แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต่าง ๆ มักจะรักษามาตรฐานการบริการและคุณภาพของสินค้าให้ตรงกับคุณค่าที่แบรนด์ต้องการส่งต่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีอยู่เสมอ เช่น ยึดมั่นในรสชาติที่อร่อยโฮมเมด เสื้อผ้าที่สนับสนุนความยั่งยืน อุปกรณ์เทคโนโลยีที่ปกป้องความเป็นส่วนตัว

5. ผสานการทำงานร่วมกันระหว่างทีมขายและการตลาด

ผสานการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานขายและการตลาด สร้างความเข้าใจในตัวแบรนด์และถ่ายทอดมาเป็นการปฏิบัติจริงได้ โดยทีมขายก็สามารถให้บริการที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ และเป็นตัวแทนสื่อสารแบรนด์ให้ลูกค้าสัมผัสได้ ในขณะที่ทีมการตลาดก็สามารถสร้างกลยุทธ์ แคมเปญ สื่อการตลาดที่สอดคล้องกับคุณค่า และเป็นเครื่องมือให้ทีมขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. วิเคราะห์ประเมินผลและพัฒนาอยู่เสมอ

วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ประเมิน ติดตามผล และหมั่นปรับกลยุทธ์โดยใช้ข้อมูลช่วยประกอบการตัดสินใจอยู่เสมอ เช่น สินค้าขายดี สินค้าติดเทรนด์ ช่องทางที่ตอบโจทย์ ระดับความพึงพอใจของลูกค้า การติชมต่าง ๆ ล้วนเป็นข้อมูลที่ช่วยให้แบรนด์พัฒนา

เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว หากคุณยังไม่รู้จะต้องเริ่มต้นอย่างไร ควรจะต้องกำหนดกลยุทธ์แบรนด์อย่างไรดี หรือมีแบรนด์อยู่แล้ว อยากจะ Re-branding สามารถปรึกษาทีมเพนฟิลได้เลย เรายินดีพร้อมให้คำปรึกษาจากประสบการณ์ที่ปรึกษากลยุทธ์ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย

Online Survey

Online Survey การเก็บผลสำรวจออนไลน์

All about
Online Survey

การเก็บผลสำรวจออนไลน์

Asset 1

การสำรวจ (Survey) อธิบายง่าย ๆ คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างบุคคล เพื่อใช้ประโยชน์จากชุดข้อมูลเหล่านั้นในการศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเป้าประสงค์ ทั้งในแง่ของประโยชน์ทางการศึกษาและวิจัย
การดำเนินกิจการของภาครัฐและภาคธุรกิจของเอกชน ซึ่งมีวิธีการหลายรูปแบบที่ควรเลือกใช้ให้เข้ากับแนวทางของข้อมูลที่ต้องการได้รับและไปใช้งานต่อ


ชนิดของการสำรวจ (Survey)

การสำรวจนั้นมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และแนวทางที่ใช้ รูปแบบของการออกแบบ หรือแตกต่างกัน ในด้านช่วงเวลา กลุ่มผู้ตอบ ตัวแปรที่เลือกใช้ วิธีการเก็บข้อมูล และวิธีการวิเคราะห์ โดยรายละเอียดของลักษณะ การออกแบบเหล่านี้มีดังต่อไปนี้ (ในที่นี้ ผู้เขียนขอจำแนกออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ)

แบบที่ 1 จำแนกโดยวัตถุประสงค์

 

1.1 สำรวจเชิงสำรวจ (Exploratory Surveys)

ใช้เพื่อศึกษาประเด็นหรือหัวข้อเฉพาะ ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นการรับฟังความคิดเห็นของผู้ตอบผ่านคำถามปลายเปิด มักใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) หรือกลุ่มสนทนา (Focus Group) เช่น การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว

1.2 สำรวจเชิงพรรณนา (Descriptive Surveys)

ใช้เพื่ออธิบายการรับรู้ของผู้ตอบ โดยการรับรู้สามารถอ้างถึงได้ในหลายประเด็น เช่น ทัศนคติ พฤติกรรม และปฏิสัมพันธ์หรือสิ่งเชื่อมโยงที่มีต่อสิ่งที่ถูกถามถึง ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือสิ่งอื่นใดก็ได้ ส่วนใหญ่ออกแบบเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มักใช้แบบสอบถามหรือแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ใช้สถิติเชิงพรรณนา เช่น การแจกแจงความถี่การตอบแบบ Likert scale โดยตัวอย่างการศึกษาก็เช่น การสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าต่อสินค้า ผลิตภัณฑ์ และ/หรือ บริการ

1.3 สำรวจเชิงอธิบาย (Explanatory Surveys)

ใช้เพื่ออธิบายหรือทำนายความสัมพันธ์ที่ถูกตั้งเป็นสมมติฐาน ออกแบบเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) เช่น การวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) และ การวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) เพื่อตรวจสอบว่าลักษณะบางอย่างของผู้ตอบมีผลกระทบต่อผลลัพธ์อย่างไร เช่น การสำรวจวิเคราะห์ว่ารายได้ส่งผลต่อระดับความสุขของแต่ละคนหรือไม่

 

แบบที่ 2 จำแนกโดยตัวเลือกในการออกแบบคำถามและรูปแบบการสำรวจ

 

2.1 แบ่งตามช่วงเวลา (Time Period) ที่ต่างกัน

  • แบบภาคตัดขวาง (Cross-Sectional Survey) คือ การเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้เห็นภาพรวมของข้อมูล ณ จุดเวลานั้น
  • แบบตามระยะเวลา (Longitudinal Survey) คือ การเก็บข้อมูลมากกว่าหนึ่งครั้งในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลเมื่อเวลาผ่านไป

2.2 แบ่งตามกลุ่มผู้ตอบ (Respondent Group)

อาจเป็นกลุ่มเดียวหรือหลายกลุ่ม อาจถูกจัดกลุ่ม ตาม อายุ เพศ หรือสถานะการใช้สินค้าและบริการ

2.3 แบ่งจากการเลือกตัวแปร (Variable Choice)

ในแบบสำรวจเชิงปริมาณ ต้องกำหนดตัวแปรอิสระ (Independent Variables) คือ ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อผลลัพธ์ และตัวแปรตาม (Dependent Variables) คือ ผลลัพธ์ที่ต้องการวัด

2.4 แบ่งตามวิธีการเก็บข้อมูล (Data Collection)

  • ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) หรือ การสัมภาษณ์ (Interview) ที่อาจเป็นแบบมีโครงสร้าง (Structured), กึ่งโครงสร้าง (Semi-structured) หรือไม่มีโครงสร้าง (Unstructured)
  • การสัมภาษณ์อาจดำเนินการแบบตัวต่อตัว ทางโทรศัพท์ หรือเป็นกลุ่ม
  • ควรมีการทดสอบล่วงหน้า (Pretest หรือ Pilot Test) เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหา ลำดับคำถาม และคำแนะนำมีความชัดเจนและเหมาะสม
  • แบบสอบถามสามารถดำเนินการผ่านไปรษณีย์ โทรศัพท์ รวมถึงอีเมล์ หรือ เว็บไซต์ หรือ ที่มักเรียกกันว่า Online Surveys

2.5 แบ่งตามวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytical Method) ขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูลที่เก็บได้

  • ข้อมูลเชิงข้อความ (Textual Data): ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เช่น
    • การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) : จัดหมวดหมู่คำและวลี
    • การวิเคราะห์ธีม (Thematic Analysis) : ระบุแนวคิดและรูปแบบของข้อมูล
  • ข้อมูลเชิงตัวเลข (Numerical Data): ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณ เช่น
    • สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) : ใช้ค่าเฉลี่ย (Mean), ค่าพิสัย (Range), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
    • สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) : ใช้ตัวอย่างจากประชากรเพื่อนำไปคาดการณ์ผลลัพธ์


การสำรวจออนไลน์คืออะไร (What is Online Survey?)

การสำรวจแบบออนไลน์ หรือ Online Survey เป็นหนึ่งในการดำเนินการเก็บข้อมูลที่ถูกแจกจ่ายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ข้อมูลที่ได้จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าวิธีการสำรวจแบบอื่น และช่วยอำนวยความสะดวกอย่างมากในกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล

การใช้แบบสำรวจออนไลน์มีการเติบโตอย่างมากในที่ผ่านมา โดยเฉพาะยุคของ COVID-19 ที่ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน สามารถแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก ได้แก่ แบบสำรวจทางอีเมล์ (Email Survey) และ แบบสำรวจบนเว็บไซต์ (Web Survey)

แบบสำรวจทางอีเมล์ (Email Survey)

  • แบบสำรวจทางอีเมล์อาจอยู่ในตัวเนื้อหาอีเมล์ แนบเป็นไฟล์แยกต่างหาก หรืออาจเป็นอีเมล์ที่มีคำแนะนำและลิงก์สำหรับเข้าถึงแบบสำรวจออนไลน์
  • จำเป็นต้องมีลักษณะดังนี้:
    • สั้นกระชับ มีคำถามจำนวนน้อย
    • ตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงคำถามที่ซับซ้อนหรือต้องมีการแตกแขนง (Branching Questions)
    • ไม่มีกราฟิกหรือการจัดรูปแบบซับซ้อน เพื่อให้แสดงผลได้อย่างถูกต้องในทุกอุปกรณ์
  • แบบสำรวจที่แนบเป็นไฟล์แยกสามารถมีรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น แต่ต้องระวังเรื่อง ขนาดไฟล์ เพราะระบบ
    อีเมล์หลายระบบมีข้อจำกัดในการรับไฟล์แนบ
  • ข้อดีของแบบสำรวจทางอีเมล์คือสามารถปรับแต่งให้เป็นรายบุคคล ซึ่งอาจช่วยเพิ่มอัตราการตอบกลับ เมื่อเทียบกับแบบสำรวจบนเว็บไซต์ อย่างไรก็ตาม ความไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ตอบอาจลดลง ทำให้บางคนไม่กล้าให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา
  • หากไม่ใช่กลุ่มคนที่คุ้นเคยกับผู้ถามอยู่แล้ว อาจจะมีอัตราการตอบกลับต่ำ ในยุคที่อีเมล์ของมิจฉาชีพหรืออีเมล์ขยะค่อนข้างเยอะ

แบบสำรวจบนเว็บไซต์ (Web Survey)

  • แบบสำรวจประเภทนี้ถูกติดตั้งบนเว็บไซต์ และให้ผู้ตอบกรอกข้อมูลออนไลน์
  • ลิงก์ไปยังแบบสำรวจสามารถเผยแพร่ผ่าน เว็บไซต์, กลุ่มข่าวสาร, รายชื่ออีเมล์ หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ
  • มีตัวเลือกการออกแบบที่หลากหลายมากกว่าแบบสำรวจทางอีเมล์ เช่น
    • สามารถใช้คำถามแบบมีเงื่อนไข (Filter Questions)
    • รองรับคำถามที่ซับซ้อน
    • มีรูปแบบการแสดงผลที่หลากหลาย
  • ผู้ตอบสามารถ รักษาความเป็นส่วนตัวได้ดีกว่า ทำให้มีแนวโน้มที่จะให้คำตอบที่ตรงไปตรงมามากขึ้น
  • อย่างไรก็ตาม อัตราการตอบกลับของแบบสำรวจบนเว็บไซต์มักจะต่ำ (แต่ยังสูงกว่าอีเมล์ โดยเปรียบเทียบ)
  • การตั้งค่าแบบสำรวจบนเว็บไซต์ต้องอาศัย ความรู้และทักษะทางเทคนิค
    • สำหรับการสำรวจขนาดเล็ก นักวิจัยอาจใช้ซอฟต์แวร์สำรวจออนไลน์ฟรี เช่น Survey Monkey (http://surveymonkey.com/) หรือ Google Form ก็สามาถใช้ได้อย่างง่ายดาย
    • สำหรับการสำรวจที่มีขนาดใหญ่หรือซับซ้อน อาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและบริหารจัดการแบบสำรวจออนไลน์ เพื่อให้แบบสำรวจมีประสิทธิภาพ ง่ายต่อการตอบคำถาม ไม่สร้างความสับสนในมุมผู้ตอบ และได้ข้อมูลที่เป็นจริง สามารถนำไปใช้ได้เกิดประโยชน์สูงสุดในมุมของผู้ใช้ข้อมูล


ข้อดีและข้อเสียของ Online Survey

✅ ข้อดีของ Online Survey

  • สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าวิธีสำรวจแบบอื่น
  • เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลอย่างรวดเร็วจากกล่มุ ประชากรที่กระจายตัวกว้าง (Mass)
  • การบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ ช่วยลดต้นทุนการป้อนข้อมูล และช่วยขจัดข้อผิดพลาดในการถ่ายโอนข้อมูล
  • เหมาะกับกลุ่มประชากรที่สามารถเข้าถึงอีเมล์ เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัย, พนักงานบริษัท หรือลูกค้า

❌ ข้อจำกัดของ Online Survey

  • แบบสำรวจทางอีเมล์ อาจถูกมองว่าเป็น อีเมล์ขยะ (Spam) หากส่งมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก
  • ไฟล์แนบอาจถูกลบออกหรือไม่ถูกเปิด เนื่องจากผู้รับกังวลเรื่องไวรัสคอมพิวเตอร์
  • แบบสำรวจบนเว็บไซต์ อาจแสดงผลแตกต่างกันในแต่ละอุปกรณ์ หรืออาจไม่ทำงานในเว็บเบราว์เซอร์หรือซอฟต์แวร์เวอร์ชันเก่า
  • ผู้ตอบบางคนอาจหลีกเลี่ยงการตอบแบบสำรวจบนเว็บไซต์ เนื่องจาก ความกังวลเรื่องความปลอดภัย (Identity Theft, Phishing, การละเมิดความเป็นส่วนตัว)
  • ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ อัตราการตอบกลับของแบบสำรวจออนไลน์ลดลง


คำแนะนำสำหรับการจัดทำ Online Survey

แม้ว่าการสำรวจแบบออนไลน์ หรือ Online Survey จะทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ก็มีเคล็ดลับเล็กๆ สำหรับการดำเนินการเพื่อธุรกิจของคุณ

1) แบบสำรวจสั้นดีกว่าแบบสำรวจที่ยาวเกินไป

เพราะผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ยินดีใช้เวลาประมาณไม่เกิน 5-10 นาที หากมีคำถามมากกว่า 20 คำถาม อาจจะยาวเกินไป และทำให้ผู้ตอบรู้สึกเบื่อหรือเลิกทำกลางคัน

2) คำถามต้องเข้าใจง่ายและตอบง่าย

  • ควรสั้น กระชับ และมีคำตอบที่ชัดเจน หรืออาจจะมีตัวเลือกให้ (คำถามแบบปรนัย (Multiple Choice)) เป็นตัวเลือกที่ดี หรือมี Scale คะแนนที่เหมาะสมให้เลือก
  • หลีกเลี่ยงคำถามปลายเปิดที่ต้องใช้เวลาคิดและพิมพ์คำตอบ (ยกเว้นมีความจำเป็นจริงๆ)

3) จัดกลุ่มคำถามตามหัวข้อ

  • เริ่มจากคำถามทั่วไปก่อน แล้วค่อยถามคำถามที่รายละเอียดมากขึ้น
  • คำถามที่มีรูปแบบการตอบเหมือนกัน ควรจัดให้อยู่ในกล่มุ เดียวกันเพื่อให้ผู้ตอบสามารถตอบได้เร็วขึ้น

4) วางคำถามที่มีเนื้อหาละเอียดอ่อนไว้ตอนท้าย

หลังจากตอบคำถามอื่นๆ แล้ว ผู้ตอบมักจะเปิดใจและยอมให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น อายุ รายได้ครัวเรือน ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น คำถามที่เกี่ยวข้องกับ ข้อมูลส่วนบุคคลหรือเรื่องละเอียดอ่อน ควรอยู่ช่วงท้ายของแบบสอบถาม

5) หลีกเลี่ยงคำถามที่ไม่เกี่ยวข้อง

ผู้เข้าร่วมไม่ชอบตอบคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ควรปรับคำถามตามผู้ตอบ ป้องกันไม่ให้ต้องเจอคำถามที่ไม่เกี่ยวข้อง

6) เพิ่มภาพและวิดีโอ

  • การใช้รูปภาพหรือวิดีโอ สามารถช่วยกระตุ้นความจำของผู้ตอบ
  • หากต้องการรู้ว่าผู้ตอบจำโฆษณาหรืออีเมล์ประชาสัมพันธ์ของคุณได้หรือไม่ ให้ใส่ภาพโฆษณาหรืออีเมล์ลงไปในแบบสำรวจเพื่อช่วยเตือนความจำ

7) สร้างความมั่นใจให้ผู้ตอบว่า ข้อมูลของพวกเขาจะปลอดภัย

แจ้งให้ผู้ตอบทราบว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาจะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัย และจะไม่ถูกเปิดเผยให้บุคคลที่สาม การใส่ข้อความนี้ในแบบสำรวจ ช่วยเพิ่มอัตราการตอบกลับ เพราะทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกมั่นใจ

8) ออกแบบแบบสำรวจให้น่าสนใจ

  • แบบสำรวจที่ดูดีและเป็นมืออาชีพ มักจะได้รับอัตราการตอบกลับสูงกว่าแบบสำรวจที่ดูเร่งรีบและไม่เป็นระเบียบ
  • ควรให้ความสำคัญกับการจัดวางหน้าแบบสำรวจ, ฟอนต์, สีสัน และใช้องค์ประกอบจากเว็บไซต์ของธุรกิจ เช่น โลโก้

9) ทดสอบแบบสำรวจก่อนเปิดให้ตอบจริง

ก่อนเผยแพร่แบบสำรวจ ควรให้กลุ่มทดลองทำแบบสำรวจดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้ถูกต้องและคำถามทั้งหมดชัดเจน

10) เลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยและสำรวจข้อมูลเพื่อจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพ

Penfill เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยและสำรวจข้อมูล หลากหลายรูปแบบ ทั้ง Online Survey, Qualitative Research & Survey ที่เหมาะสมกับสินค้า บริการ และธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม
Reference:
• What is a Survey, Fritz Scheuren (2004 Books)
• Handbook of eHealth Evaluation: An Evidence-based Approach Lau F, Kuziemsky C, editors. Victoria (BC): University of Victoria. (2017)
• Conducting Online Surveys, Valerie M. Sue, Lois A. Ritter (2007 Books)
• Internet, mail, and mixed-mode surveys: The tailored design method, 3rd ed., Dillman, D. A., Smyth, J. D., & Christian, L. M. (2009).
• Research Methods, Kirsty Williamson and Graeme Johanson (2018 Books)
• https://www.smartsurvey.co.uk/articles/10-tips-for-designing-an-effective-online-survey